ลาออกจากมหาวิทยาลัยตอนปี 2 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.81 เผื่อเรียนทำผม จนได้เป็นเจ้าของธุรกิจ

ลาออกจากมหาวิทยาลัยตอนปี 2 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.81 เพื่อเรียนทำผม ขอแก้คำผิดตรงนี้นะคับ เนื่องจากระบบตั้งไว้ ไม่ให้แก้ไขชื่อหัวข้อกระทู้ได้ หลังจากที่โพสท์ผ่านไปแล้ว 1ชม. ครับ

( ตอนที่ 1 / 4 )
สวัสดีคับ ผมมีเรื่องราวชีวิตที่อยากแบ่งปัน เผื่อว่าจะได้เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆบ้าง
         ตั้งแต่เด็กๆ ผมโตมากับเสียงดนตรีคับ พ่อของผมเป็นครู แต่เป็นครูประถมธรรมดาสอนวิชาทั่วไปคับ แต่พ่อให้ผมเรียนดนตรีตั้งแต่เด็ก เพราะตอนเด็กๆพ่ออยากเรียนแต่ไม่ได้เรียน ผมจึงได้เรียนหมด ทั้งอีเล็กโทน เปียโน กีต้าร์ ฟลุ๊ท ขิม ซอ ระนาด ฆ้องวง จะเข้   ฯ คือ เอาทั้งไทยและสากลเลยคับ ผมเรียนดนตรีได้ดี แต่เรื่องวิชาสามัญไม่ค่อยเก่ง ความฝันของผมตั้งแต่เด็กๆคือ โตขึ้นไปอยากเป็นครูเหมือนพ่อ แต่จะเป็นครูสอนดนตรี  ตอนเรียน ม.ต้น ผมจึงอยู่วงโยธวาทิตของโรงเรียน และอยู่ชมรมดนตรีไทย ต้องไปโรงเรียนก่อนเด็กคนอื่น เพื่อซ้อมวงโย และกลับบ้านหลังเด็กคนอื่นเพื่อซ้อมดนตรีไทย  พอจบม.3 ผมสอบเข้าวิทยาลัยนาฏศิลป และได้เรียนที่นั่นจนจบ ม.6 คับ ความสามารถทางดนตรีของผม มันเด่นจนผมมองไม่เห็นความสามารถด้านอื่นเลย ตอนนั้นคิดว่า ต้องเป็นครูสอนดนตรีเท่านั้น ไม่งั้นก็ไม่รู้จะทำมาหากินอะไรแล้ว แต่ผมไม่รู้ตัวเลยว่าจิงๆแล้วผมชอบทำผมตั้งแต่เด็ก ผมชอบถักเปียให้น้องๆ ให้เด็กแถวบ้าน ผมสามารถถักเปียเล็กๆทั้งหัว แล้วใส่ลูกปัดแบบฝรั่งที่ชอบมาถักที่ข้าวสารได้ตั้งแต่เด็ก สมัยนั้นไม่มี internet ให้ดูคลิป ใน youtube แล้วทำตามแบบสมัยนี้ ตอนนั้นอาศัยดูจากในทีวีแล้วลงมือทำ พอปิดเทอมก็ทำสีให้หัวตัวเองบ้าง น้องๆที่บ้านบ้าง แต่ด้วยสมัยนั้น (ประมาณปี 2542 ) อาชีพทำผมดูเป็นอาชีพที่ไม่มีหน้าตาในสังคม ช่างทำผม จะถูกเรียกว่าช่างเสริมสวย ยิ่งร้านทำผมตามตจว.แบบแถวบ้านของผม วันๆมีแต่คนเข้ามาสระไดร์ ทำเล็บ และนั่งเมาท์กัน ผมจึงไม่ได้มีความฝันว่าอยากเปิดร้านผมทำเลย

           พอเรียนจบม.6จากวิทยาลัยนาฏศิลป ผมสอบตรงติดที่มศว.ประสานมิตร คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกดนตรีไทย ถ้าจบจะได้วุติ กศบ.  ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีการเรียนครู และออกฝึกสอน ตลอดเวลาที่เรียนปี 1 ชีวิตของผมเหมือนเดิม ซ้อมดนตรี ๆ ๆ ๆ ทุกวัน แต่ผมจะต่างจากเพื่อนคนอื่นตรงที่ เพื่อนๆของผมจะรับงานนอก เล่นดนตรีตามโรงแรม ร้านอาหาร  แต่ผมไม่ได้รับงานเล่นดนตรีเลย ผมกลายเป็นช่างทำผมประจำรุ่น ที่คอยทำผมให้เพื่อนเวลาเพื่อนมีงาน แต่ไม่เคยคิดเงินนะคับ ตอนนั้นคิดว่าทำเพราะสนุก ทำเพราะชอบ ออกแนวขอร้องเพื่อนด้วยซ้ำ ว่าขอทำเหอะ.....อยากทำ อะไรประมาณนี้ พอปิดเทอมขึ้นปี 2 ผมทำสีผมหัวตัวเอง ด้วยการกัดสีทั้งหัว แล้วลงสีชมพู ซึ่งสมัยนั้น สีชมพูเป็นสีที่แปลกใหม่ และไม่ค่อยมีช่างคนไหนทำติด แต่หัวผมในตอนนั้นเป็นสีชมพูสด ซึ่งเดินไปไหนมาไหนคนก็มอง จนช่างทำผมแถวบ้านมาบอกกับแม่ผมว่า ถ้าส่งลูกเรียนทำผมน่าจะไปได้ไกลนะ ตอนนั้นแม่ก็มาถามว่าชอบทำผมไหม ผมตอบว่าชอบ แต่ไม่คิดจะเอาเป็นอาชีพ พอเปิดเทอมปี 2 ผมก็กลับกทมเข้าไปเรียนตามปกติ แต่ในปี 2 นี้เองที่เป็นจุดพลิกของชีวิตผม  ปี 2 เทอม 1 มีวิชาที่ต้องไปคอยสังเกตุการสอนของอาจารย์ และเป็นผู้ช่วยของอาจารย์ ผมได้เป็นผู้ช่วยของอาจารย์ท่านนึง ที่โรงเรียนสาธิตมศว.ประสานมิตร ซึ่งพอได้ไปเป็นครูผู้ช่วยแล้ว ผมรู้สึกอึดอัดมากที่ต้องทำงานตามหน้าที่ของครู ต้องตรวจการบ้าน ให้คะแนน ทำสือการเรียนการสอน และอีกหลายๆอย่าง ตอนนั้นผมคิดว่า ถ้าเรียนถึงปี 4 แล้วผมต้องออกฝึกสอน ผมต้องตายแน่ๆ ( จริงๆแล้วการเรียนครู อาจจะไม่ได้หนักหนาแบบนั้นนะครับ แต่นี้คือในมุมมองของผม ผมเป็นคนไม่ชอบอยู่กฎเกณฑ์ ทำงานตามที่คนอื่นสั่ง ผมจึงไม่โอเคกับสิ่งผมได้เจอเท่าไรครับ)

          พอผมกลับบ้าน ความคิดที่ว่าโตขึ้นไปผมจะเป็นครู มันเริ่มจางลง ผมเริ่มคิดว่า ผมจะต้องเจออะไรอีกบ้างในสายอาชีพนี้ ผมจะทนอยู่ในกฏ แต่งตัวถูกระเบียบตามที่หน่วยงานกำหนดได้ไหม? ทำงานตามเวลาที่กำหนดได้ไหม? และต้องเหนื่อยกับการทำผลงานเพื่อขอเลื่อนขั้นแบบพ่อของผมได้ไหม เพราะผมเห็นพ่อผมเหนื่อยมาก กับการทำผลงาน พอถึงวันเสาร์ ผมกลับบ้านไปคุยกับแม่ว่า อยากลาออกมาเรียนทำผม เพราะถ้าเรียนจนจบปี 4 แม่จะต้องเสียเงินส่งผมเรียนอีกตั้งเท่าไร และสุดท้ายผมก็จะไม่เป็นครูแล้ว พอจบปี 4 ผมก็จะไปเรียนทำผม  ผมกลัวว่าถ้าเป็นแบบนั้นมันจะช้าเกินไป แม่ผมรับฟังและไปคุยกับพ่อ  สุดท้ายพ่อไม่เห็นด้วย และออกแนวไม่พอใจมาก พ่อบอกว่าเอาใบปริญญามาให้ได้ก่อน แล้วหลังจากนั้นจะทำอะไรก็ทำ ความฝันของผมดับวู้บลง.....

           เช้าวันจันทร์ผมก็ไปกทม. เข้าเรียนตามปกติ แต่ใจของผมไม่เป็นสุขแล้ว ผมไม่อยากเรียน ไม่อยากซ้อมดนตรี ไม่อยากไปเป็นครูผู้ช่วย แต่ผมทำอะไรไม่ได้ ผมทนเรียนจนจบปี 2 เทอม 1 เกรดเฉลี่ยตอนนั้นได้ 3.81 คะแนนเป็นอันดับ 2 ของรุ่น  พ่อแม่ดีใจกับเกรดเฉลี่ยของผม แต่ในใจผมคิดตลอดว่า จะขอพ่อแม่อย่างไรดี  สุดท้ายผมก็คิดออก....... เอาละ!!! จะขอพ่อว่าจะย้ายกลับไปเรียนราชฎัชที่บ้าน แล้วตอนเย็นจะไปเรียนทำผมที่สารพัดช่าง ที่เปิดสอนตอน 18.00-20.00  ผมรีบเข้าไปคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาว่าจะขอย้ายกลับไปเรียนที่บ้าน โดยให้เหตุผลว่ามีปัญาหาทางบ้าน ไม่สามารถเรียนในกทม.ได้ จริงๆแล้วผมก็ไม่อยากโกหกท่าน แต่ก่อนหน้านี้ผมคุยกับเพื่อนๆในรุ่น เพื่อนทุกคนเบรคผมหมด ผมเลยคิดว่า ผมจะไม่บอกเหตุผลนี้กับอาจารย์ที่ปรึกษา ตอนคุยกันผมใจสั่นไปหมด อาจารย์ให้ทางออกอื่นว่า เกรดเฉลี่ยผมอยู่ในเกณท์ดี ถ้ามีปัญหาเรื่องเงินท่านจะช่วยขอทุนให้ แต่ผมก็ยืนยันคำเดิมว่ายังไงผมก็ต้องกลับบ้านที่ตจว. สุดท้ายอาจารย์จึงยอม ผมรีบกลับบ้านบอกพ่อแม่ว่าผมจะขอย้ายกลับมาเรียนที่ราชฎัช เรื่องการเรียนผมจะไม่ทิ้ง โอนหน่วยกิตมาแล้วเรียนต่อจนจบ และผมจะได้เรียนทำผมด้วย ผมรู้ว่าพ่อกับแม่ไม่ขัดแน่ๆ เพราะแม่อยากให้ผมอยู่ใกล้ๆอยู่แล้ว และพ่อผมเองก็จบจากราชฎัชที่ราชบุรี บันไดขั้นแรกของผมจึงสำเร็จ ผมได้ย้ายกลับมาเรียนที่ราชบุรี ตอนปี 2 เทอม 2 และตอนเย็นหลังเลิกเรียน ผมก็ไปเรียนทำผมที่ วิทยาลัยสารพัดช่างราชบุรี ตอน 18.00 - 20.00 น.

     บ้านผมอยู่อ.เมือง แต่ราชฎัชอยู่ อ.จอมบึง ผมเดินทางไปเรียนด้วยการขับรถมอเตอร์ไซด์ ระยะทางเกือบ 30 โล ไปเช้า -เย็นกลับ แบบนี้ทุกวัน เมื่อผมได้เรียนทำผมจิงๆ ผมรู้สึกว่านี้คือพรสวรรค์ของผม ส่วนนดนตรีคือทักษะที่ผมร่ำเรียนมา ตอนเรียนดนตรีผมไม่ใช่คนที่เล่นได้เก่ง แต่ผมเป็นคนที่เล่นดนตรีพอได้ ผมทำได้ตามที่ผมร่ำเรียนมา  แต่เรียนทำผม ผมทำได้มากกว่าที่ผมเรียน ผมคิดอะไรในหัวเยอะแยะไปหมด อยากทำนู้น อยากทำนี้ ผมรู้สึกสนุกกับการออกหน่วยไปตัดผมให้คนข้างนอกมาก ครอสเรียนทำผมต้องเรียนทั้งหมด 60 วัน ผมเรียนมาจนเกือบจบครอส ตอนนั้นผมคิดต่อว่า ถ้าจบแล้วจะทำยังไงต่อ ปี2 เทอม 2 ของผมก็ยังไม่จบ ผมตัดสินใจไปคุยกับแม่อีกครั้ง ว่าถ้าเรียนจบครอส 60 วัน ผมขอลาออกจากราชฎัช แล้วเข้ากทม.อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมจะเข้าไปเรียนโรงเรียนทำผม แม่รับฟังความต้องการของผม แล้วไปคุยกับพ่อให้  ความหวังของผมฝากไว้กับแม่ เพราะผ่านด่านแม่แล้ว ด่านพ่อน่าจะผ่านได้ เมื่อพ่อผมรู้เรื่อง พ่อก็ไม่พอใจมากและตอบกลับมาว่า ถ้าไม่คิดจะเป็นครู ก็เอาใบปริญญามาให้พ่อก่อน!!!! ตอนนั้นผมน้อยใจนะ ว่าทำไมพ่อต้องยึดติดกับใบปริญญา แม่เข้าใจผม แต่ทำไมพ่อไม่เข้าใจผม พ่อไม่รู้ว่าผมอึดอัดแค่ไหนที่ต้องไปเรียนทุกวัน แต่ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้เข้าเรียนทำผม  เช้าวันนึงที่ผมไปเรียนตามปกติ ก่อนออกจากบ้านผมไหว้แม่แล้วขับรถมอเตอร์ไซด์ออกไป (พ่อไปทำงานเช้ากว่า จึงไม่ได้เจอพ่อ) พอผมขับรถออกไปได้สักพัก ก็มีรถปอเต็กตึ้งเปิดหว๋อดังลั่น ขับผ่านหน้าบ้าน แม่ผมรีบโทรหา แต่ผมไม่ได้ยินเพราะขับมอเตอร์ไซด์อยุ่ กว่าจะติดต่อแม่ได้ก็ผ่านไป เกือบ40นาที พอรับสายแม่ แม่ผมรีบถามว่าผมยังปลอดภัยดีอยุ่ไหม "แม่ได้ยินเสียงรถหวอแล้วใจไม่ดีเลย" ผมบอกว่าไม่มีอะไรผมถึงราชฎัชแล้ว แม่ก็บอกว่า แม่ใจไม่ดีทุกครั้งที่ผมออกจากบ้านแล้วมีเสียงหว๋อ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผม แม่ผมจะอยู่ยังไง ผมก็บอกว่าไม่เป็นไรแม่ ผมขับรถระวังๆ เย็นวันนั้นผมก็ไปเรียนทำผมตามปกติ พ่อผมโทรมา ผมรีบรับสาย แล้วพ่อก็พูดด้วยน้ำเสียงโมโหว่า อยากออกนักใช่ไหม!!! อยากออกก็ออกไปเลย ไม่ต้องเรียนมันแล้ว !!! ผมเงียบ ไม่ได้พูดอะไรต่อ  พ่อผมก็เงียบ.... สักพักก็มีเสียงหัวเราะของแม่ดังอยู่ข้างๆ พ่อผมก็หัวเราะตาม แล้วพูดว่า วันนี้แม่มาบอกว่าถ้าลูกขับรถไปเรียนแล้วโดนรถชนตายจะทำยังไง พ่อกับแม่เลยคุยกันแล้วสรุปว่า ยอมให้ผมออกจากราชฎัชแล้วเข้ากทม.ไปเรียนตามที่ผมต้องการดีกว่า ผมดีใจมากรีบกลับไปกอดพ่อกับแม่ ขอบคุณที่ยอมให้ผมไปเรียน ให้ผมได้เดินตามความฝันที่ผมอยากทำ

เดี๋ยวมาต่อนะคับ
*** ตอนที่ 3/4 อยู่หน้าที่ 2
*** ตอนที่ 4/4  อยู่หน้า 3
สำหรับคนที่เล่นในมือถือ เลื่อนลงมาล่างสุดจะมีแถบเลื่อนไปหน้าอื่นคับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่